ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Tim Gustafson

รูปเคารพที่ถูกขโมยไป

รูปเคารพแกะสลักไม้ประจำบ้านถูกขโมยไปจากหญิงคนหนึ่งชื่อ เอคูวา เธอจึงแจ้งเจ้าหน้าที่เมื่อคิดว่าเจอรูปนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่ทางกฎหมายเชิญเธอมาตรวจสอบ “นี่คือรูปเคารพของคุณหรือเปล่า” พวกเขาถาม เธอตอบเศร้าๆว่า “ไม่ใช่ค่ะ รูปเคารพของฉันมีขนาดใหญ่และสวยกว่านี้ค่ะ”

เป็นเวลานานมาแล้วที่ผู้คนพยายามอธิบายถึงพระเจ้าในความคิดของพวกเขา หวังให้พระเจ้าที่ถูกสร้างด้วยมือปกป้องพวกเขา นี่อาจเป็นเหตุผลที่ราเชลภรรยาของยาโคบ “ขโมยรูปเคารพของบิดา” ขณะที่พวกเขาหนีจากลาบัน (ปฐก.31:19) แต่พระเจ้ายังให้พระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือยาโคบ แม้จะมีรูปเคารพซ่อนอยู่ในเต็นท์ของท่าน (ข้อ 34)

จากนั้น ในการเดินทางเดียวกันนี้ ยาโคบปล้ำสู้กับ “บุรุษผู้หนึ่ง” ทั้งคืน (32:24) ท่านน่าจะรู้ว่าคู่ต่อสู้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เพราะเมื่อฟ้าสางท่านยืนกรานว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า” (ข้อ 26) บุรุษนั้นตั้งชื่อให้ท่านใหม่ว่าอิสราเอล (“พระเจ้าทรงปล้ำสู้”) และอวยพรท่าน (ข้อ 28-29) ยาโคบเรียกสถานที่นั้นว่า เปนีเอล (“พระพักตร์ของพระเจ้า”) “เพราะข้าพเจ้าได้เห็นพระพักตร์พระเจ้า แล้วยังมีชีวิตอยู่” (ข้อ 30)

พระเจ้าองค์นี้ ซึ่งเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว ทรงยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัดและงดงามเกินกว่าที่เอคูวาจะสามารถจินตนาการได้ พระองค์ไม่อาจถูกแกะสลัก ถูกขโมย หรือถูกซ่อนไว้ได้ แต่ยาโคบก็ยังได้เรียนรู้ในคืนนั้นว่าเราสามารถเข้าถึงพระองค์ได้! พระเยซูทรงสอนให้สาวกของพระองค์เรียกพระเจ้าองค์นี้ว่า “พระบิดาของเราในสวรรค์” (มธ.6:9)

เชือกสั้นเกินจนใช้ไม่ได้

ทุกคนรู้เรื่องความประหยัดของป้ามาร์กาเร็ต หลังจากเธอเสียชีวิต หลานๆ จึงเริ่มภารกิจที่หวานอมขมกลืนในการคัดแยกข้าวของของเธอ ในลิ้นชักๆหนึ่งพวกเขาเจอถุงพลาสติกใบเล็กที่บรรจุเชือกเส้นสั้นๆหลายแบบเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ มีป้ายเขียนกำกับว่า “เชือกสั้นเกินจนใช้ไม่ได้” อะไรทำให้คนๆหนึ่งเก็บและจัดระเบียบสิ่งของที่เขารู้ว่านำไปใช้ไม่ได้ บางทีคนๆนี้อาจเคยประสบกับความขาดแคลนอย่างรุนแรง

เมื่อชนชาติอิสราเอลหนีจากการเป็นทาสในอียิปต์ พวกเขาทิ้งชีวิตที่ยากลำบากไว้เบื้องหลัง แต่ไม่นานพวกเขาก็ลืมการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงช่วยในการอพยพและเริ่มบ่นเรื่องการขาดอาหาร

พระเจ้าทรงต้องการให้พวกเขาไว้วางใจในพระองค์ พระองค์ประทานมานาให้เป็นอาหารแก่พวกเขาในถิ่นทุรกันดาร ทรงบอกโมเสสว่า “ให้ประชาชนออกไปเก็บทุกวัน พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ” (อพย.16:4) พระองค์ยังทรงบอกให้พวกเขาเก็บมาให้มากเป็นสองเท่าในวันที่หก เพราะในวันสะบาโตจะไม่มีมานาตกลงมา (ข้อ 5, 25) พวกอิสราเอลบางคนเชื่อฟัง บางคนก็ไม่เชื่อฟังและพบว่าเป็นไปตามที่พระเจ้าทรงบอกไว้ (ข้อ 27-28)

ในช่วงเวลาแห่งความอุดมสมบูรณ์และเวลาแห่งความสิ้นหวัง ความพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์ทำให้เราอยากยึดเอาไว้ และกักตุนอย่างช่วยไม่ได้ เราไม่จำเป็นต้องฉวยทุกอย่างไว้ในมือที่ลนลานของเรา ไม่จำเป็นต้อง “เก็บเศษเชือก” หรือกักตุนสิ่งใดไว้เลย ความเชื่อของเราอยู่ในพระเจ้าผู้ทรงสัญญาว่า “เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย” (ฮบ.13:5)

ขึ้นเขาตลอดเส้นทาง

คริสติน่า รอสเซ็ตติ กวีและนักเขียนบทเฝ้าเดี่ยวพบว่าไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่ายในชีวิตของเธอ เธอต้องทนทุกข์กับภาวะซึมเศร้าและโรคภัยที่รุมเร้าตลอดชีวิตของเธอ ทั้งยังต้องกล้ำกลืนกับการหมั้นหมายที่ล้มเลิกถึงสามครั้งในที่สุดเธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง

แม้ว่าดาวิดจะเป็นจอมทัพที่ทรงชัยชนะในจิตสำนึกของชนชาติอิสราเอลแต่ตลอดพระชนม์ชีพทรงต้องเผชิญความยากลำบากมากมาย ในช่วงปลายของการครองราชย์โอรสของพระองค์กับที่ปรึกษาที่ไว้วางพระทัยและประชาชนมากมายได้ทรยศพระองค์ (2 ซมอ.15:1-12) ดาวิดจึงเสด็จหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับปุโรหิตอาบียาธาร์และศาโดก และทรงนำหีบพันธสัญญาไปด้วย (ข้อ 14, 24)

หลังจากที่อาบียาธาร์ได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ดาวิดตรัสกับปุโรหิตว่า “จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปในเมืองเถิด หากว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยเรา พระองค์จะทรงโปรดนำเรากลับมาให้เห็นทั้งหีบนั้นกับที่ประทับของพระองค์ด้วย” (ข้อ 25) ในท่ามกลางความไม่แน่นอน ดาวิดกล่าวว่า “แต่ถ้า [พระเจ้า]ตรัสว่า ‘เราไม่พอใจเจ้า’...ขอพระองค์ทรงกระทำกับเราตามที่พระองค์ทรงโปรดเห็นชอบเถิด” (ข้อ 26) ดาวิดรู้ว่าพระองค์สามารถวางใจในพระเจ้าได้

คริสติน่า รอสเซ็ตติวางใจในพระเจ้าเช่นกัน และชีวิตของเธอจบลงด้วยความหวัง การเดินทางอาจคดเคี้ยวและขึ้นเขาตลอดเส้นทาง แต่มันจะนำเราไปสู่พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงรอคอยเราด้วยอ้อมแขนที่เปิดกว้าง

พระเจ้าทรงมีแผนการอื่น

เราไม่ทราบอายุที่แน่นอนของพวกเธอ คนหนึ่งถูกพบที่ขั้นบันไดโบสถ์ อีกคนรู้เพียงว่าเธอได้รับการเลี้ยงดูโดยแม่ชี พวกเธอเกิดในโปแลนด์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเวลาเกือบแปดสิบปีที่ทั้งฮาลิน่าและคริสตีน่าต่างก็ไม่รู้จักกัน ต่อมาผลตรวจดีเอ็นเอระบุว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน และนำไปสู่การหวนมาพบกันอย่างปีติยินดี อีกทั้งเปิดเผยให้รู้ว่าพวกเธอมีเชื้อสายยิว ซึ่งอธิบายว่าทำไมพวกเธอจึงถูกนำมาทิ้ง คนชั่วร้ายได้กำหนดให้เด็กหญิงทั้งสองนี้ต้องตายเพียงเพราะชาติกำเนิดของพวกเธอ

ลองนึกภาพแม่ผู้หวาดกลัวที่ทิ้งลูกๆซึ่งถูกคุกคามชีวิตไว้ในที่ซึ่งพวกเธออาจได้รับการช่วยเหลือ ทำให้นึกถึงเรื่องราวของโมเสส เมื่อเป็นเด็กทารกชาวฮีบรู ท่านถูกกำหนดว่าจะโดนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (ดู อพย.1:22) แม่ของท่านวางแผนที่จะวางท่านไว้ในแม่น้ำไนล์ (2:3) เพื่อให้ท่านมีโอกาสรอด พระเจ้าทรงมีแผนการที่เธอคาดไม่ถึง คือเพื่อช่วยกู้ชีวิตประชากรของพระองค์ผ่านทางโมเสสเรื่องราวของโมเสสนำเราไปสู่เรื่องราวของพระเยซู ขณะที่ฟาโรห์สืบเสาะที่จะฆ่าเด็กชายชาวฮีบรู เฮโรดก็สั่งฆ่าเด็กทารกชายทั้งหมดในเบธเลเฮม (ดู มธ. 2:13-16)

ผู้อยู่เบื้องหลังความเกลียดชังนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเด็กคือมารศัตรูของเรา ความรุนแรงเช่นนี้ไม่ได้ทำให้พระเจ้าประหลาดใจ พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับโมเสส และพระองค์ทรงมีแผนการสำหรับคุณและผม และโดยทางพระเยซูพระบุตรของพระองค์ พระองค์ได้ทรงเปิดเผยแผนการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์คือเพื่อช่วยกู้และทำให้ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศัตรูได้กลับคืนดีกับพระองค์

ไม่มีคำแช่งสาป

วิลเลี่ยม เชคสเปียร์เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการประชดประชัน ซึ่งเป็น “คุณสมบัติ” ที่แบรี่ คราฟท์นักแสดงได้นำมาใช้อย่างช่ำชองในหนังสือชื่อ Shakespeare Insult Generator (เครื่องให้กำเนิดคำพูดประชดประชันของเชคสเปียร์) หนังสือที่ชาญฉลาดเล่มนี้ประกอบด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยการประชดประชันจากบทละครของเชคสเปียร์ ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะพูดจาดูถูกใครสักคนโดยพูดว่า “เจ้าคนโอ้อวด เจ้าหัวขี้เลื่อยผู้น่าสงสาร” ซึ่งดูสร้างสรรค์กว่าการพูดว่า “เจ้าโอ้อวดมากไปและเจ้าก็ไม่ได้ฉลาดมากนัก เจ้าคนชั่ว!”

หนังสือเบาสมองของคราฟท์นั้นสนุก แต่มีกษัตริย์เมืองโมอับองค์หนึ่งพยายามว่าจ้างผู้เผยพระวจนะลึกลับ ไม่เพียงให้มาพูดจาดูหมิ่นชาวอิสราเอล แต่ยังให้มาสาปแช่งพวกเขา กษัตริย์บาลาคบอกกับบาลาอัมว่า “ขอเชิญมาเถิด ขอสาปแช่งชนชาตินี้ให้แก่ข้าพเจ้า” (กดว.22:6) แต่บาลาอัมกลับทำให้พระองค์โกรธด้วยการ อวยพร ชาวฮีบรูหลายต่อหลายครั้ง (24:10) พรประการหนึ่งของเขาอยู่ในคำพยากรณ์ต่อไปนี้ “ข้าพเจ้าเห็นเขา แต่ไม่ใช่อย่างเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าดูเขา แต่ไม่ใช่อย่างใกล้ๆนี้” (24:17) เห็นได้ชัดว่าบุคคลที่บาลาอัมกำลังพูดถึงนั้นยังไม่ปรากฏขึ้น แล้วเขาหมายถึงใครกัน คำใบ้อยู่ในบรรทัดถัดไป “ดาวดวงหนึ่งจะเดินออกมาจากยาโคบ และธารพระกรอันหนึ่งจะขึ้นมาจากอิสราเอล” (ข้อ 17) แล้ววันหนึ่ง “ดวงดาว” จะนำนักปราชญ์ไปหาพระกุมารที่ทรงสัญญาไว้ (มธ.2:1-2)

ผู้เผยพระวจนะชาวเมโสโปเตเมียโบราณผู้หนึ่งซึ่งไม่รู้จักพระเมสสิยาห์ ได้ชี้ให้โลกเห็นถึงหมายสำคัญที่จะบังเกิดขึ้นในอนาคตเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระองค์ เป็นคำอวยพรไม่ใช่คำแช่งสาป ซึ่งมาจากแหล่งที่ไม่น่าเป็นไปได้

ต้นตอ

ในปี 1854 มีบางสิ่งคร่าชีวิตผู้คนในลอนดอนไปหลายพัน พวกเขาคิดว่าจะต้องเป็นมลพิษในอากาศแน่ๆ ความจริงแล้วความร้อนที่ผิดปกติทำให้สิ่งปฏิกูลปนเปื้อนในแม่น้ำเทมส์ส่งกลิ่นเลวร้ายจนเป็นที่เรียกขานว่า “วิกฤตการณ์กลิ่นเหม็นรุนแรง”

แต่ปัญหาที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่อากาศ งานวิจัยของดร.จอห์น สโนว์แสดงให้เห็นว่าน้ำที่ปนเปื้อนคือสาเหตุการระบาดของอหิวาตกโรค

มีวิกฤตอีกอย่างที่มนุษย์เราตระหนักมานานแล้ว คือวิกฤตที่ส่งกลิ่นเหม็น
ไปยังฟ้าสวรรค์ เราอยู่ในโลกที่ตกต่ำ และเรามักจะระบุต้นตอของปัญหานี้ผิดพลาดและหาทางรักษาแทน โครงการและนโยบายทางสังคมอันชาญฉลาด
มีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ไม่มีอำนาจในการหยุดยั้งสาเหตุแห่งความเจ็บป่วยของสังคม นั่นก็คือจิตใจที่เต็มด้วยความบาปของเรา!

เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ไม่มีสิ่งใดภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้” พระองค์ไม่ได้หมายถึงความเจ็บป่วยฝ่ายร่างกาย (มก.
7:15) แต่ทรงวินิจฉัยสภาพฝ่ายวิญญาณของเราทุกคน “สิ่งซึ่งออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละกระทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” พระองค์ตรัส (ข้อ 15) และ
ทรงชี้ถึงการชั่วต่างๆที่ซุกซ่อนอยู่ภายในเรา (ข้อ 21-22)

“ดูเถิด ข้าพระองค์ถือกำเนิดมาในความผิดบาป” ดาวิดเขียน (สดด.51:5) คำคร่ำครวญนี้เป็นสิ่งที่เราทุกคนพูดได้เช่นกัน เราแตกสลายมาตั้งแต่ต้น นั่นเป็นเหตุให้ดาวิดอธิษฐานว่า “ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์” (ข้อ 10) ในทุกวันเราต้องการหัวใจใหม่ที่สร้างโดยพระเยซูผ่านทางองค์พระวิญญาณ

แทนที่จะรักษาอาการป่วย เราจำต้องให้พระเยซูทรงชำระต้นตอของมัน

พระเจ้าทรงใส่ใจในรายละเอียด

เป็นสัปดาห์ที่เลวร้ายมากสำหรับเควินและคิมเบอร์ลีย์ อาการชักของเควินเกิดแย่ลงอย่างกะทันหันและต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ท่ามกลางภาวะการแพร่ระบาด ลูกเล็กๆทั้งสี่พี่น้องที่พวกเขารับอุปการะจากบ้านสงเคราะห์ตกอยู่ในภาวะอึดอัดอย่างมากเพราะติดอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน และที่แย่ไปกว่านั้นคิมเบอร์ลีย์ไม่อาจทำอาหารดีๆได้สักมื้อจากของในตู้เย็น เป็นเรื่องแปลกมากที่ในเวลานั้นเธอรู้สึกอยากกินแครอทเหลือเกิน

หนึ่งชั่วโมงต่อมามีเสียงเคาะประตู อแมนด้าและแอนดี้เพื่อนของพวกเขายืนอยู่ตรงนั้น กับมื้ออาหารที่เธอเตรียมให้กับครอบครัวนี้ ซึ่งรวมถึงแครอท

ผู้คนพูดกันว่ามารสนใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆไม่ใช่เลย เรื่องราวอันน่าทึ่งในประวัติศาสตร์ของชาวยิวแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงใส่ใจในรายละเอียด ฟาโรห์รับสั่งว่า “บุตรชายฮีบรูทุกคนที่เกิดมา ให้เอาไปทิ้งเสียในแม่น้ำไนล์” (อพย.1:22) การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นี้มีพัฒนาการที่มีรายละเอียดอันน่าทึ่งที่น่าสนใจ มารดาของโมเสสเอาลูกของนาง “ไปทิ้งเสีย” ในแม่น้ำไนล์จริงๆแม้จะแฝงอุบายก็ตาม และจากแม่น้ำไนล์ พระราชธิดาของฟาโรห์เองจะช่วยทารกผู้ที่พระเจ้าจะทรงใช้ให้ช่วยชีวิตประชากรของพระองค์ อีกทั้งพระนางยังจ่ายค่าจ้างแก่มารดาของโมเสสเพื่อให้เลี้ยงดูท่านด้วย! (2:9)

จากชนชาติยิวที่เกิดใหม่นี้ในวันหนึ่งจะมีทารกตามพระสัญญาถือกำเนิดขึ้น เรื่องราวของพระองค์จะเต็มไปด้วยรายละเอียดอันน่าทึ่งและความพลิกผัน และที่สำคัญที่สุดคือ พระเยซูจะทรงจัดเตรียมการอพยพของเราออกจากการเป็นทาสของบาป

ยิ่งในช่วงเวลาที่มืดมิดนี้ พระเจ้ายังทรงใส่ใจในรายละเอียด ดังที่คิมเบอร์ลีย์จะบอกคุณว่า “พระเจ้าทรงนำแครอทมาให้ฉัน!”

ทารกเพศชาย

เป็นเวลานานกว่าหนึ่งปีที่ชื่อทางกฎหมายของเขาคือ “ทารกเพศชาย” เขาถูกพบโดยพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ได้ยินเสียงเขาร้อง ทารกตัวน้อยถูกทิ้งไว้ขณะอายุเพียงไม่กี่ชั่วโมง ถูกห่อไว้ในกระเป๋าอยู่ในลานจอดรถของโรงพยาบาล

ไม่นานหลังจากที่พบเขา นักสังคมสงเคราะห์โทรหาคนที่วันหนึ่งจะกลายมาเป็นครอบครัวถาวรของเขา สามีภรรยาคู่นี้รับเลี้ยงและเรียกเขาว่าเกรย์สัน (นามสมมติ) ในที่สุดกระบวนการรับอุปการะก็เสร็จสมบูรณ์และเขาได้ใช้ชื่อเกรย์สันอย่างเป็นทางการ วันนี้คุณจะได้เห็นเด็กร่าเริงที่ออกเสียงตัว ร ผิดเพราะเขากระตือรือร้นที่จะพูดกับคุณ คุณจะไม่คิดเลยว่าครั้งหนึ่งเขาเคยถูกทิ้งไว้ในกระเป๋า

ในช่วงท้ายของชีวิตโมเสส ท่านทบทวนถึงพระลักษณะของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทำเพื่อชนชาติอิสราเอล และกล่าวกับพวกเขาว่า “พระเยโฮวาห์ทรงฝังพระทัยในบรรพบุรุษของท่าน และทรงรักเขา” (ฉธบ.10:15) ความรักนี้กว้างใหญ่ไพศาล “พระองค์ประทานความยุติธรรมแก่ลูกกำพร้าและแม่ม่าย และทรงรักคนต่างด้าว ประทานอาหารและเครื่องนุ่งห่มแก่เขา” ท่านกล่าว (ข้อ 18) “พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญของท่านทั้งหลาย พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของท่าน” (ข้อ 21)

เราทุกคนถูกเรียกให้สะท้อนถึงความรักของพระเจ้า ไม่ว่าจะผ่านการรับอุปการะหรือผ่านการรักและรับใช้ สามีภรรยาที่น่ารักคู่นั้นกลายเป็นมือและเท้าที่พระเจ้าใช้เพื่อขยายความรักของพระองค์ไปสู่คนที่อาจถูกมองข้ามและทอดทิ้ง เราก็สามารถรับใช้โดยการเป็นมือและเท้าของพระองค์ด้วยเช่นกัน

ยุคที่ไม่ธรรมดา

แม้จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในฐานะคนนอกศาสนา แต่จักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งโรมัน (ค.ศ.272-337) ก็ได้ดำเนินการปฏิรูปซึ่งทำให้การข่มเหงคริสเตียนยุติลง และพระองค์ยังได้กำหนดปฏิทินที่เราใช้ โดยแบ่งประวัติศาสตร์ทั้งหมดออกเป็นยุค ก.ค.ศ.(ก่อนคริสต์ศักราช) และค.ศ. (คริสต์ศักราช หรือ “ในปีขององค์พระผู้เป็นเจ้า”)

มีการดำเนินการที่จะทำให้ระบบปฏิทินนี้ไม่ขึ้นกับศาสนา โดยเปลี่ยนชื่อเป็น ส.ศ. (สากลศักราช) และก่อนส.ศ. (ก่อนสากลศักราช) บางคนชี้ให้เห็นว่านี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการที่โลกกีดกันพระเจ้าออกไป

แต่พระเจ้าไม่ได้จากไปไหน ไม่ว่าจะใช้ชื่ออะไรปฏิทินของเราก็ยังคงมีศูนย์กลางอยู่บนความจริงแห่งชีวิตของพระเยซูในโลก

ในพระคัมภีร์นั้นเอสเธอร์เป็นพระธรรมเล่มที่ไม่ธรรมดาตรงที่ไม่มีการกล่าวถึงพระเจ้าอย่างเจาะจง ทว่าเรื่องที่พระธรรมนี้เล่าถึงนั้นเป็นหนึ่งในการช่วยกู้ของพระเจ้า ชาวยิวถูกขับไล่จากบ้านเกิดเมืองนอน มาอาศัยอยู่ในประเทศที่ไม่สนใจพระเจ้า ข้าราชการที่มีอำนาจต้องการทำลายล้างพวกเขาทั้งหมด (อสธ.3:8-9, 12-14) แต่พระเจ้าได้ทรงปลดปล่อยประชากรของพระองค์โดยทางพระราชินีเอสเธอร์และโมรเดคัยญาติของพระนาง เรื่องราวนี้ยังคงมีการเฉลิมฉลองในเทศกาลปูริมจนทุกวันนี้ (9:20-32)

ไม่ว่าโลกจะเลือกตอบสนองต่อพระองค์อย่างไรในเวลานี้ พระเยซูก็ได้ทรงเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง พระองค์ทรงแนะนำให้เรารู้จักกับยุคที่ไม่ธรรมดา คือยุคที่เต็มไปด้วยความหวังและพระสัญญาอย่างแท้จริง ทั้งหมดที่เราต้องทำคือมองไปรอบๆแล้วเราจะได้เห็นพระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา